โครงสร้างของ Past Simple Tense
หรือ
1. Past Simple Tense : Verb to be ( was / were )
|
Affirmative (+)
| |
I
| | |
He
| | |
She
|
was
|
late.
|
It
| | |
We
| | |
You
|
were
| |
They
| | |
|
Negative ( – )
| |
I
| | |
He
|
wasn’t ( was not )
| |
She
| |
late.
|
It
| | |
We
| | |
You
|
weren’t ( were not )
| |
They
| | |
|
Question ( ? )
| |
|
I
|
|
Was
|
he
|
|
|
she
|
late?
|
|
it
|
|
Were
|
we
|
|
|
you
|
|
|
they
|
|
|
Short Answer ( + )
| |
|
I
| |
|
he
|
was.
|
Yes,
|
she
| |
|
it
| |
|
we
| |
|
you
|
were.
|
|
they
| |
|
Short Answer ( -)
| |
|
I
| |
|
he
|
wasn’t. ( was not )
|
No,
|
she
| |
|
it
| |
|
we
| |
|
you
|
wern’t. ( were not )
|
|
they
| |
2. Past Simple Tense : Main Verbs ดังตารางข้างล่าง
|
Affirmative(+)
| |
I
|
| |
You
|
| |
He
|
| |
She
|
worked
|
yesterday.
|
It
|
| |
We
|
| |
They
|
| |
|
Negative ( – )
| | |
I
|
| | |
You
|
| | |
He
| | | |
She
|
didn’t ( did not )
|
work
|
yesterday.
|
It
| | |
|
We
| | |
|
They
| | | |
| Question (?) | | |
|
I
| | |
|
you
| | |
Did
|
he
|
work
|
yesterday?
|
|
she
| | |
|
it
| | |
|
we
| | |
|
they
| | |
| Short Answer(+ ) | |
|
I
| |
|
you
| |
Yes,
|
he
| |
|
she
|
did.
|
|
it
| |
|
we
| |
|
they
| |
|
Short Answer (-)
| |
|
I
| |
|
you
| |
No,
|
he
| |
|
she
|
didm’t. ( did not )
|
|
it
| |
|
we
| |
|
they
| |
1. Regular Verbs ( กริยาไม่เปลี่ยนรูป) หมายความว่า เมื่อเปลี่ยนจากกริยาช่องที่ 1 (Simple Present) มาเป็นกริยาช่องที่ 2 (Simple Past) ก็ยังคงรูปเดิม เพียงแต่เติม _ed ท้ายคำกริยานั้น เช่น
work เป็น worked
hope เป็น hoped
play เป็น played etc.
2. Irregular Verbs (กริยาเปลี่ยนรูป) หมายความว่า เมื่อเปลี่ยนจาก กริยาช่องที่ 1 (Simple Present) มาเป็นกริยาช่องที่ 2 (Simple Past) จะเขียนไม่เหมือนเดิม เช่น
sleep เป็น slept
sit เป็น sat
run เป็น ran etc.
หลักเกณฑ์การเติม ed ที่คำกริยา
1. กริยาที่ลงท้ายด้วย e ให้เติม d ได้เลย เช่น
love เป็น loved
move เป็น moved
hope เป็น hoped etc.
2. กริยาที่ลงท้ายด้วย y และหน้า y เป็นพยัญชนะให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม ed เช่น
cry เป็น cried
carry เป็น carried
marry เป็น married
try เป็น tried
etc.
3. กริยาที่ลงท้ายด้วย y แต่หน้า y เป็นสระ ให้เติม ed ได้เลย เช่น
play เป็น played
enjoy เป็น enjoyed
stay เป็น stayed
etc.
4. กริยาที่มีพยางค์เดียว มีสระตัวเดียวและลงท้ายด้วยตัวสะกดตัวเดียว ให้เพิ่มตัวสะกดนั้นอีก 1 ตัว แล้วจึงเติม ed เช่น
play เป็น planned
rub เป็น rubbed
stop เป็น stopped
ยกเว้น
tax เป็น taxed
tow เป็น towed
5.กริยามีเสียง2พยางค์แต่ลงเสียงหนัก(stress)พยางค์หลังและพยางค์หลังมีสระตัวเดียวตัวสะกดตัวเดียวให้เติมตัวสะกดนั้นอีก 1 ตัวก่อน แล้วจึงเติม ed เช่น
refer เป็น referred
permit เป็น permitted
ยกเว้น คำกริยานั้นออกเสียงหนักที่พยางค์แรกให้เติม ed ได้เลย เช่น
cover เป็น covered
open เป็น opened
gather เป็น gathered
6. นอกจาก ข้อ 1-5 ให้เติม ed ที่คำกริยาได้เลย เมื่อต้องการทำให้เป็นกริยาช่อง 2
การออกเสียง (Pronunciation)
การออกเสียง ed ที่เติมหลังคำกริยาออกเสียงได้ดังนี้
1. ออกเสียง ed เป็น /id/ เมื่อคำกริยานั้นลงท้ายด้วย t หรือ d เช่น
want เป็น wanted
need เป็น needed
visit เป็น visited
2. ออกเสียง ed เป็น /t/ เมื่อคำกริยานั้นลงท้ายด้วยเสียงไม่ก้อง (Voiceless) /k/, /s/, /t-/, /f/, /P/ เช่น
cook เป็น cooked
kiss เป็น kissed
watch เป็น watched
finish เป็น finished
stop เป็น stopped
laugh เป็น laughed
3. ออกเสียง ed เป็น /d/ เมื่อคำกริยานั้นลงท้ายด้วยเสียงก้อง (Voice) เช่น
arrive เป็น arrived
open เป็น opened
rub เป็น rubbed
study เป็น studied
หลักการใช้ Past Simple Tense
1. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่ได้เกิดขึ้นแล้วในอดีต และจบลงแล้วในอดีตก่อนที่จะพูดประโยคนี้ มักจะมีคำ (word) กลุ่มคำ (Phrase) หรือประโยค (Clause) ที่แสดงความเป็นอดีตกำกับไว้เสมอ
คำ (word)
|
กลุ่มคำ (Phrase)
|
ประโยค (Clause)
|
ago
|
last night
|
When he was young.
|
once
|
last week
|
When he was fifteen.
|
yesterday
|
last month
|
After he had gone.
|
formerly
|
last year
|
When I lived in Paris.
|
|
in 1980
|
|
|
yesterday morning
|
|
|
yesterday afternoon
|
|
เช่น Somchai went to the movie yesterday.
I lived in Songkla three years ago.
He learned English when he was young.
2. ใช้กับการกระทำที่กระทำเป็นประจำในอดีต แต่ปัจจุบันไม่ได้กระทำอีกแล้ว มักจะมีกริยาวิเศษณ์บอกความถี่ (Adverb of Frequency) มาร่วมด้วย แต่ต้องมีคำบอกเวลาที่เป็นอดีตแน่นอนกำกับไว้ตลอด เช่น
She walked to school every day last week.
I always got up late last year.
He went to school every day when he was young.
3. ใช้กับการกระทำในอดีต แสดงลำดับความต่อเนื่องของเหตุการณ์ กริยา (Verb) ทุกตัวต้องเป็น Past Simple Tense เช่น
I opened my bag, took out some money and gave it to my friend.
He jumped out of the house, saw a policeman and ran away.
Form of Past Simple Tense : Be
1. Affirmative (ประโยคบอกเล่า)
2. Negative (ประโยคปฏิเสธ)
Subject + wasn’t / weren’t
|
3. Question (ประโยคคำถาม)
4. Answer (ประโยคคำตอบ)
Short answer (+)
Yes, + Subject + was / were
|
Short answer (-)
No, + Subject + wasn’t / weren’t
|
Examples :
1. William Shakespeare was an English writer. One of his plays was Romeo and Juliet.
2. George Washington and Abraham Lincoln weren’t American film stars. They were presidents of the United States.
3. Was Christopher Columbus an explorer? Yes, he was.
4. Were you born in Paris? No, I wasn’t. I was born in Thailand.
5. The Beatles were British pop stars. There were four people in the group.
Form of Past Simple Tense : Main Verb
1. Affirmative
Examples :
1. They spent their holidays in Mexico last winter.
2. First she answered the phone and then she wrote down the message.
3. Elvis Presley sang many great songs. (Elvis Presley is dead.)
4. Robert painted his house last month.
5. Frank and Mary walked their dogs yesterday.
2. Negative (ประโยคปฏิเสธ)
Subject + didn’t + Base Form
|
Examples :
1. Eva didn’t go out last weekend. She stayed home.
2. I didn’t make a cake last Sunday. I cleaned my room.
3. Anne didn’t do the laundry this morning. She sang a song.
4. They didn’t study yesterday. They went shopping at the shopping mall.
5. We didn’t practise the soccer game the day before yesterday.
3. Question (ประโยคคำถาม)
Did + Subject + Base Form + ?
|
4. Answers (ประโยคคำตอบ)
- Short answer (+)