วันเสาร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2557

English Tips#2

English Tips#2


English Tips#2 เรื่องการใช้ “on time” กับ “in time”
● on time ใช้กับ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงตามเวลาถูกระบุไว้ก่อนแล้ว เช่น ตารางเวลารถไฟ หรือการนัดหมายต่าง ๆ
- The bus arrived on time.
- Anne handed in her project on time.
● in time ใช้กับ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนเวลาที่กำหนด พูดง่าย ๆ คือเกิดทันเวลานั่นเอง
- I got home just in time to watch the TV news.
- Our flight was delayed and we didn’t reach the office in time.

0 ความคิดเห็น:

English Tips#1

English Tips#1


English Tips : คำศัพท์แสดงความเป็นเหตุเป็นผล

• Because แปลว่า เพราะว่า
 ซึ่งต้องตามด้วยประโยคเสมอ เช่น
He went to bed because he was sleepy. หรือ
Because he was sleepy, he went to bed.
เขาเข้านอน เพราะว่าเขาง่วงนอน
• Because of หรือ Due to แปลว่า เพราะว่า เช่นกัน แต่ต้องตามด้วยคำนามหรือกลุ่มคำนาม ห้ามตามด้วยประโยคเด็ดขาด เช่น
Because of (หรือ Due to) the cold weather, we stayed home. หรือ
We stayed home because of (หรือ due to) the cold weather.
เพราะอากาศหนาว เราจึงอยู่บ้าน
แต่ถ้าเราจะใช้คำว่า Because จะต้องตามด้วยประโยค เช่น
Because the weather was cold, we stayed home.
• Since ที่ปกติแปลว่า ตั้งแต่ ยังสามารถแปลว่า เพราะว่า ได้เหมือนกับคำว่า Because และต้องตามด้วยประโยคเช่นกัน เช่น
Since he is not interested in classical music, he decided not to go to the concert.
เพราะว่าเขาไม่สนใจดนตรีคลาสสิค เขาจึงตัดสินใจไม่ไปคอนเสิร์ต

• Therefore แปลว่า ดังนั้น
 ซึ่งมักจะใช้แบบเป็นทางการ โดยปกติต้องตามด้วยประโยค เช่น
It was hot. Therefore, we went swimming.
มันร้อน ดังนั้นเราจึงไปว่ายน้ำ
นอกจากนี้เรายังสามารถเปลี่ยนตำแหน่งของ Therefore ไปไว้ระหว่างประธานและกิริยา หรือไว้ท้ายประโยคก็ได้ เช่น
It was hot. We, therefore, went swimming. หรือ
It was hot. We went swimming, therefore.
• So แปลว่า ดังนั้น ตามด้วยประโยคเช่นกัน ซึ่งใช้ในกรณีไม่เป็นทางการ เช่น
It was hot, so we went swimming.
• คำศัพท์อื่นๆ ที่แปลว่า “ดังนั้น” คือ Thus, Hence, As a result, Consequently คำเหล่านี้มักใช้ในกรณีที่เป็นทางการ

0 ความคิดเห็น:

วันศุกร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2557

Learning with Songs: Katy Perry - Roar

Katy Perry - Roar


           Watch and Practice the exercise below.




                                             Excercise

แปลไทย


I used to bite my tongue and hold my breath
Scared to rock the boat and make a mess
So I sat quietly, agreed politely
I guess that I forgot I had a choice
I let you push me past the breaking point
I stood for nothing, so I fell for everything


ฉันเคยห้ามตัวเองไม่ให้พูด และกลั้นหายใจ

กลัวที่จะสร้างปัญหา และก่อความวุ่นวาย
ฉันจึงนั่งอยู่เงียบๆ เออออไปตามคนอื่นอย่างสุภาพ
ฉันคิดว่าฉันคงลืมไปว่าฉันก็มีทางเลือกของฉันนะ
ฉันยอมให้เธอกดดันฉัน จนถึงจุดแตกหัก
แต่ฉันก็ยืนเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉันจึงพ่ายแพ้ในทุกๆเรื่อง


You held me down, but I got up

Already brushing off the dust
You hear my voice, your hear that sound
Like thunder, gonna shake your ground
You held me down, but I got up
Get ready cause I’ve had enough
I see it all, I see it now


เธอกดฉันจนจมดิน แต่ฉันก็ยืนหยัดขึ้นมาได้

ปัดฝุ่นทิ้งไปให้หมด
ได้ยินเสียงฉันมั้ย เสียงนั้น
มันเหมือนกับสายฟ้าฟาด จะทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน
เธอกดฉันจนจมดิน แต่ฉันก็ยืนหยัดขึ้นมาได้
เพราะฉันทนมาพอแล้ว
ฉันทุกๆอย่างแล้ว ฉันได้เห็นแล้ว


I got the eye of the tiger, the fighter, dancing through the fire

Cause I am a champion and you’re gonna hear me ROAR
Louder, louder than a lion
Cause I am a champion and you’re gonna hear me ROAR
You’re gonna hear me roar


ฉันมีดวงตาของพยัคฆ์ นักสู้ ร่ายรำฝ่าฟันกองเพลิง

เพราะฉันคือผู้ชนะ และเธอจะต้องได้ยินเสียงฉันคำราม
คำรามให้ดังยิ่งกว่าราชสีห์
เพราะฉันคือผู้ชนะ และเธอจะต้องได้ยินเสียงฉันคำราม
ได้ยินฉันคำราม


Now I’m floating like a butterfly

Stinging like a bee I earned my stripes
I went from zero, to my own hero


ในตอนนี้ ฉันนั้นลอยได้เหมือนกับผีเสื้อ
ต่อยเหมือนผึ้ง ฉันมีลายทางของตัวเองแล้ว
ฉันเริ่มต้นจาก 0 เพื่อเป็นฮีโร่ของตัวเอง

You held me down, but I got up
Already brushing off the dust
You hear my voice, your hear that sound
Like thunder, gonna shake your ground
You held me down, but I got up
Get ready ’cause I’ve had enough
I see it all, I see it now

เธอกดฉันจนจมดิน แต่ฉันก็ยืนหยัดขึ้นมาได้
ปัดฝุ่นทิ้งไปให้หมด
ได้ยินเสียงฉันมั้ย เสียงนั้น
มันเหมือนกับสายฟ้าฟาด จะทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน
เธอกดฉันจนจมดิน แต่ฉันก็ยืนหยัดขึ้นมาได้
เพราะฉันทนมาพอแล้ว
ฉันทุกๆอย่างแล้ว ฉันได้เห็นแล้ว

I got the eye of the tiger, the fighter, dancing through the fire
Cause I am a champion and you’re gonna hear me ROAR
Louder, louder than a lion
Cause I am a champion and you’re gonna hear me ROAR
You’re gonna hear me roar

ฉันมีดวงตาของพยัคฆ์ นักสู้ ร่ายรำฝ่าฟันกองเพลิง
เพราะฉันคือผู้ชนะ และเธอจะต้องได้ยินเสียงฉันคำราม
คำรามให้ดังยิ่งกว่าราชสีห์
เพราะฉันคือผู้ชนะ และเธอจะต้องได้ยินเสียงฉันคำราม
ได้ยินฉันคำราม

I got the eye of the tiger, the fighter, dancing through the fire
Cause I am a champion and you’re gonna hear me ROAR
Louder, louder than a lion
Cause I am a champion and you’re gonna hear me ROAR
You’re gonna hear me roar

ฉันมีดวงตาของพยัคฆ์ นักสู้ ร่ายรำฝ่าฟันกองเพลิง
เพราะฉันคือผู้ชนะ และเธอจะต้องได้ยินเสียงฉันคำราม
คำรามให้ดังยิ่งกว่าราชสีห์
เพราะฉันคือผู้ชนะ และเธอจะต้องได้ยินเสียงฉันคำราม
ได้ยินฉันคำราม


เครดิตเนื้อเพลงแปล: http://www.aelitaxtranslate.com/2013/08/katy-perry-roar.html


0 ความคิดเห็น:

Learning with Movies: Star Trek Into Darkness

Star Trek Into Darkness




Watch and Practice the exercise below.


Excercise
Check answer

แปลไทย




0 ความคิดเห็น:

Past Simple Tense

Past Simple Tense

 
โครงสร้างของ Past Simple Tense
Subject + Verb2
หรือ
ประธาน + กริยาช่องที่ 2
  1. Past Simple Tense : Verb to be ( was / were ) 

Affirmative (+)
I
He
She
was
late.
It
We
You
were
They
 
Negative ( – )
I
He
wasn’t ( was not )
She
late.
It
We
You
weren’t ( were not )
They

Question ( ? )
I
Was
he
she
late?
it
Were
we
you
they
Short Answer ( + )
I
he
was.
Yes,
she
it
we
you
were.
they
Short Answer ( -)
I
he
wasn’t. ( was not )
No,
she
it
we
you
wern’t. ( were not )
they

  2. Past Simple Tense : Main Verbs    ดังตารางข้างล่าง

Affirmative(+)
I
You
He
She
worked
yesterday.
It
We
They
Negative ( – )
I
You
He
She
didn’t ( did not )
work
yesterday.
It
We
They
Question (?)
I
you
Did
he
work
yesterday?
she
it
we
they
Short Answer(+ )
I
you
Yes,
he
she
 did.
it
we
they
Short Answer (-)
I
you
No,
he
she
didm’t. ( did not )
it
we
they
  รูปของคำกริยา (Form of Verbs) 
คำกริยามี 2รูป คือ
            1. Regular Verbs ( กริยาไม่เปลี่ยนรูป) หมายความว่า เมื่อเปลี่ยนจากกริยาช่องที่ 1 (Simple Present) มาเป็นกริยาช่องที่ 2 (Simple Past) ก็ยังคงรูปเดิม เพียงแต่เติม _ed ท้ายคำกริยานั้น เช่น

work           เป็น          worked
                    hope          เป็น           hoped
                    play           เป็น            played     etc.
        2. Irregular Verbs (กริยาเปลี่ยนรูป) หมายความว่า เมื่อเปลี่ยนจาก กริยาช่องที่ 1 (Simple Present) มาเป็นกริยาช่องที่ 2 (Simple Past) จะเขียนไม่เหมือนเดิม เช่น
                    sleep         เป็น          slept
sit               เป็น          sat
run              เป็น          ran      etc.
   หลักเกณฑ์การเติม ed ที่คำกริยา   


            1. กริยาที่ลงท้ายด้วย e ให้เติม ได้เลย เช่น
                    love            เป็น          loved
move          เป็น          moved
hope           เป็น         hope    etc.
            2. กริยาที่ลงท้ายด้วย y และหน้า y เป็นพยัญชนะให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม ed เช่น
                    cry               เป็น          cried
carry           เป็น           carried
marry          เป็น           married
try               เป็น            tried
etc.
            3. กริยาที่ลงท้ายด้วย y แต่หน้า y เป็นสระ ให้เติม ed ได้เลย เช่น
                    play            เป็น           played
enjoy          เป็น           enjoyed
stay            เป็น           stayed
etc.
           4. กริยาที่มีพยางค์เดียว มีสระตัวเดียวและลงท้ายด้วยตัวสะกดตัวเดียว ให้เพิ่มตัวสะกดนั้นอีก 1 ตัว แล้วจึงเติม ed เช่น  
                    play            เป็น           planned
rub              เป็น           rubbed
stop            เป็น           stopped
 ยกเว้น 

tax              เป็น            taxed
tow             เป็น            towed
          5.กริยามีเสียง2พยางค์แต่ลงเสียงหนัก(stress)พยางค์หลังและพยางค์หลังมีสระตัวเดียวตัวสะกดตัวเดียวให้เติมตัวสะกดนั้นอีก 1 ตัวก่อน แล้วจึงเติม ed   เช่น
                    refer           เป็น            referred
permit        เป็น            permitted
 ยกเว้น  คำกริยานั้นออกเสียงหนักที่พยางค์แรกให้เติม ed ได้เลย เช่น
                   cover          เป็น            covered
open           เป็น            opened
gather         เป็น            gathered
         6. นอกจาก ข้อ 1-5 ให้เติม ed ที่คำกริยาได้เลย เมื่อต้องการทำให้เป็นกริยาช่อง 2
  การออกเสียง (Pronunciation) 

 การออกเสียง ed ที่เติมหลังคำกริยาออกเสียงได้ดังนี้
           1. ออกเสียง ed เป็น /id/ เมื่อคำกริยานั้นลงท้ายด้วย t หรือ d เช่น
                       want           เป็น            wanted
need          เป็น            needed
visit            เป็น            visited
           2. ออกเสียง ed เป็น /t/ เมื่อคำกริยานั้นลงท้ายด้วยเสียงไม่ก้อง (Voiceless) /k/, /s/, /t-/, /f/, /P/ เช่น
                      cook         เป็น            cooked
kiss           เป็น            kissed
watch        เป็น            watched
finish         เป็น            finished
stop          เป็น             stopped
laugh        เป็น             laughed
           3. ออกเสียง ed เป็น /d/ เมื่อคำกริยานั้นลงท้ายด้วยเสียงก้อง (Voice) เช่น
                    arrive         เป็น           arrived
open          เป็น           opened
rub             เป็น            rubbed
study         เป็น            studied
  หลักการใช้ Past Simple Tense 


        1. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่ได้เกิดขึ้นแล้วในอดีต และจบลงแล้วในอดีตก่อนที่จะพูดประโยคนี้ มักจะมีคำ (word) กลุ่มคำ (Phrase) หรือประโยค (Clause) ที่แสดงความเป็นอดีตกำกับไว้เสมอ


คำ (word)
กลุ่มคำ (Phrase)
ประโยค (Clause)
ago
last night
When he was young.
once
last week
When he was fifteen.
yesterday
last month
After he had gone.
formerly
last year
When I lived in Paris.
in 1980
yesterday morning
yesterday afternoon
     เช่น               Somchai went to the movie yesterday.
lived in Songkla three years ago.
He learned English when he was young.
       2. ใช้กับการกระทำที่กระทำเป็นประจำในอดีต แต่ปัจจุบันไม่ได้กระทำอีกแล้ว มักจะมีกริยาวิเศษณ์บอกความถี่ (Adverb of Frequency) มาร่วมด้วย แต่ต้องมีคำบอกเวลาที่เป็นอดีตแน่นอนกำกับไว้ตลอด เช่น
                          She walked to school every day last week.
I always got up late last year.
He went to school every day when he was young.
       3. ใช้กับการกระทำในอดีต แสดงลำดับความต่อเนื่องของเหตุการณ์ กริยา (Verb) ทุกตัวต้องเป็น Past Simple Tense เช่น
                         I opened my bag, took out some money and gave it to my friend.
He jumped 
out of the house, saw a policeman and ran away.


 Form of Past Simple Tense : Be 
          1. Affirmative (ประโยคบอกเล่า)
Subject + was / were
          2. Negative (ประโยคปฏิเสธ)
Subject + wasn’t / weren’t

 3. Question (ประโยคคำถาม)
Was / Were + Subject + ?
          4. Answer (ประโยคคำตอบ)

 Short answer (+)
Yes, + Subject + was / were
 Short answer (-)
No, + Subject + wasn’t / weren’t
          Examples :
    1. William Shakespeare was an English writer. One of his plays was Romeo and Juliet.
  2. George Washington and Abraham Lincoln weren’t American film stars. They were presidents of the United States.
                          3. Was Christopher Columbus an explorer?   Yes, he was.
                 4.  Were you born in Paris?       No, I wasn’t. I was born in Thailand.
                   5. The Beatles were British pop stars. There were four people in the group.
   Form of Past Simple Tense : Main Verb  
          1. Affirmative
Subject + Verb 2
          Examples :
                        1.  They spent their holidays in Mexico last winter.
                       2. First she answered the phone and then she wrote down the message. 
                       3. Elvis Presley sang many great songs.  (Elvis Presley is dead.)
                         4.  Robert painted his house last month.
                      5. Frank and Mary walked their dogs yesterday.
           2. Negative (ประโยคปฏิเสธ)
Subject + didn’t + Base Form
          Examples :
                                    1. Eva didn’t go out last weekend. She stayed home.
                                     2. I didn’t make a cake last Sunday. I cleaned my room.
                                   3.  Anne didn’t do the laundry this morning.  She sang a song.
      4. They didn’t study yesterday.  They went shopping at the shopping mall.
                             5. We didn’t practise the soccer game the day before yesterday.
          3. Question (ประโยคคำถาม)
Did + Subject + Base Form + ?
          4. Answers (ประโยคคำตอบ)
  - Short answer (+)
Yes, + Subject + did.
    
                              - Short answer (-)
No, + Subject + didn’t.
 Examples : 
                                  1. Did they go out last night ?        Yes, they did.
                                  2.  Did she chat online with friends last night?    No, she didn’t.
                                  3. Did Bill buy a camera last week?       Yes, he did.
                                  4. Did you visit London last year?      No, we didn’t.
                              5. Did you make your bed this morning?      Yes, I did.

    0 ความคิดเห็น:

    Blogger Template by Clairvo